The river of the five colors (แม่น้ำ 5 สี)

แม่น้ำ 5 สีเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าThe river that run away to paradise หรือแม่น้ำสู่สรวงสวรรค์ ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่น้ำที่สวยที่สุดในโลก ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศโคลอมเบีย ในเมือง Macarena La ซึ่งเป็นต้นน้ำ มีลักษณะเป็นธารหินตื้น ๆ น้ำใส พอแสงแดดส่องก็จะเห็นต้นหญ้า mosses และ algae ที่มีสีน้ำตาล  สีเขียว สีม่วง สีแดงอมม่วง และสีเขียว ผสมผสานกลมกลืนจนสายน้ำกลายเป็นสีฟ้าเข้ม

แม่น้ำ 5 สี เป็นแม่น้ำนี้อยู่ทางตอนเหนือของ ประเทศโคลัมเบีย ในเมือง Macarena La ซึ่งเป็นต้นน้ำ มีลักษณะเป็นธารหินตื้น ๆ ไม่มีดินโคลน น้ำที่นี่จึงใสแจ๋ว พอแสงแดดส่องก้นบึ้งด้านล่าง เราก็จะเห็นประติมากรรมใต้น้ำ ต้นหญ้า mosses และ algae ที่มีสีน้ำตาล หรือ สีเขียว เกือบตลอดทั้งปี และขอบอกว่าแม่น้ำสวยสายนี้ เป็นแม่น้ำที่สวยด้วยตัวเอง ไม่ได้สวยด้วยสภาพแวดล้อมหรือทิวทัศน์สองฟากฝั่งและภาพที่เห็นเป็นของจริงล้วน ๆ นะจ๊ะ โดยสิ่งที่แตกต่างจากแม่น้ำสายอื่น ๆ ก็คือ โขดหินที่ปกคลุมด้วย หญ้ามอส สีเขียว สีม่วง สีแดงอมม่วง และสีเขียว ผสมผสานกลมกลืนจนสายน้ำกลายเป็นสีฟ้าเข้ม อวดโฉมเปล่งประกายความงามหลากหลายให้ใครต่อใครต่างประทับใจไม่รู้ลืม เพราะทำให้แม่น้ำสายนี้งดงามดั่งสายรุ้งในฤดูฝน

ส่วนฤดูกาลที่เหมาะสมที่สุดในการมาเที่ยว จะเป็นช่วงรอยต่อสั้น ๆ ระหว่างฤดูฝน กับ ฤดูร้อน เพราะระดับน้ำกำลังพอดี พืชน้ำแต่ละชนิดจะพากันชูช่อออกดอกหลายหลากสีสัน ตัดสลับสีฟ้า สีเขียว สีดำ สีแดงเต็มสองฟากฝั่ง และในก้นแม่น้ำด้วย บรรดานักท่องเที่ยวจึงใจจดใจจ่อรอคอยด้วยใจอยากมาสัมผัส ซึ่งตลอดระยะความกว้างของแม่น้ำ 5 สี 20 เมตร ความยาวกว่า 100 กิโลเมตร นับเป็นความมหัศจรรย์มาก อีกอย่างความงดงามนี้ยังไม่ได้ถูกกระทบกระเทือนด้วย

ปราสาท San Felipe, Cartagena

ปราสาท San Felipe de Barajas หรือ Castillo San Felipe de ในเมือง Cartagena สร้างเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมบนยอดเขา โดยปราสาทได้ถูกทำลายและถูกซ่อมแซมขึ้นมาใหม่หลายต่อหลายครั้ง ซึ่งมีเรื่องเล่าว่า ก้อนหินบล็อกที่ใช้ในการสร้างปราสาทนั้นถูกชะโลมไปด้วยเลือดของทาสชาวผิวดำ เพราะ Cartagena เป็นหนึ่งในเมืองท่าค้าทาสของสเปน และในปีค.ศ. 1984 องค์การยูเนสโกก็ได้จดทะเบียนสถานที่นี้ให้เป็นมรดกโลก

ปราสาท San Felipe de Barajas เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญที่สุดของ Cartagena; สถานที่ท่องเที่ยวโดยนักท่องเที่ยวเกือบทั้งหมดที่เดินทางไปยังเมือง นอกจากนี้ยังมีประวัติศาสตร์ที่น่าทึ่งซึ่งยาวนานกว่า 480 ปี ปราสาทได้รับการรุกรานโดยโจรสลัดนายพลและนายยักษ์ใหญ่ในประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน แต่ยืนอย่างภาคภูมิใจจนถึงทุกวันนี้

พระมหากษัตริย์อันรุ่งโรจน์ของเครือข่ายการป้องกันของกาตาร์ในจักรวรรดิสเปนได้เริ่มขึ้นเมื่อปีพ. ศ. 1536 เมื่อถูกเรียกว่าปราสาทซานลาเรซา โจรสลัดสัญจรในทะเลแคริบเบียนในสมัยนั้นมีสายตาของพวกเขาได้รับการแก้ไขเกี่ยวกับความมั่งคั่งของเมือง Cartagena de Indias เมืองที่เต็มไปด้วยผลกำไรจากอุตสาหกรรมการเดินเรือและการค้าทาสที่พึ่งพอง สเปนจำเป็นต้องปกป้องทรัพย์สินที่มีค่าของพวกเขาและพวกเขาสร้างกำแพงป้องกันที่ปัจจุบันล้อมรอบเมืองเก่ารวมทั้งป้อมยุทธศาสตร์ที่สำคัญหลายแห่ง ที่น่าประทับใจที่สุดมองข้ามเมืองจากด้านบนของเนินเขาสูง 130 ฟุตตำแหน่งที่ดีเลิศกับมุมมองของผู้บังคับบัญชาของอ่าวที่ด้านหน้าของ Cartagena

ปราสาทที่ยังคงยืนอยู่ในปัจจุบันได้ขยายอย่างมีนัยสำคัญในปี ค.ศ. 1657 และเปลี่ยนชื่อเป็น Philip IV of Spain เริ่มด้วยปืนใหญ่เพียงแปดและกองทหารขนาดเล็กจำนวน 20 นายและพลทหารสี่คนปราสาทนี้ก็ได้ถูกขยายขึ้นอีกครั้งเมื่อปีพ. ศ. 2306 โดย Antonio de Arévalo ได้รับการซ่อมแซมและปรับปรุงเพิ่มเติมโดยJosé de Herrera y Sotomayor ในปีพ. ศ. 2282 ซานเฟลิเปมักต้องการการซ่อมแซมเนืองจากนิสัยที่เคราะห์ร้ายการ์ตานามีไว้เพื่อดึงดูดการรุกรานของโจรสลัด

ปราสาทแรกตกสู่การโจมตีในปีค. ศ. 2240 โดยเซอร์เบอร์นาร์ด Desjean เซอร์เบีย, Barón de Pointis และ Jean Baptiste Ducasse ในช่วงสงครามของ Grand Alliance ความขัดแย้งระหว่างเก้าปีระหว่าง Louis XIV และรัฐบาลยุโรป จักรวรรดิสเปน การซ่อมแซมภายหลังของ Sotomayor รวมถึงการเสริมสร้างความสามารถในการป้องกันของป้อมปราการด้วยนอกเหนือจากป้อมปราการและป้อมปืนพิเศษ การเพิ่มเติมเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในปี ค.ศ. 1741

ในปี ค.ศ. 1741 ในช่วงสงครามเก้าปีที่เรียกว่า War of Jenkins ‘Ear – เรียกว่าเพราะเมล็ดพันธุ์แห่งความขัดแย้งถูกหว่านเมื่อกัปตันเรือสินค้าชาวอังกฤษชื่อ Robert Jenkins เสียชีวิตในการเผชิญหน้ากับหน่วยยามฝั่งของสเปนระหว่างอังกฤษ และสเปนพลเรือเอกเอ็ดเวิร์ดเวอร์นอนโจมตีเมืองการ์ตาเฮน่า สิ่งที่ตามมาคือการสูญเสียการรุกของสหราชอาณาจักรขณะที่พลเรือตรีบลาสเดอเลอโซชาวสเปนช่วยปกป้องเมืองได้สำเร็จช่วยไม่ให้เกิดแรงต้านในปราสาทซานเฟลิ ชาวอังกฤษเสียชีวิตประมาณ 10, 000 คนในการรบ – หลายคนยอมรับกับไข้เหลือง – โดยมีผู้ลอบสังหารปราสาทประมาณ 3, 000 คน เมืองนี้ได้รับการปกป้องจาก 23, 000 กองกำลังอังกฤษและเรือ 186 ลำโดยมีเรือเพียง 3, 000 ลำและเรือหกลำ

ปราสาทถูกโจมตีอีกครั้งในช่วงสงครามอิสรภาพของสเปนในอเมริกาเมื่อกองกำลังสเปนอยู่ภายใต้การบัญชาการของ Pablo Morillo ถึงเมืองในปี ค.ศ. 1815 เมื่อถึงปลายปี Cartagena ตกลงไปและความสมบูรณ์ของ Grenada ใหม่อยู่ภายใต้การสนับสนุนของ Royalist ควบคุมโดยพฤษภาคม 1816 เน้นบทบาทเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญของเมืองในการปกป้องจักรวรรดิ

ปัจจุบันการเยี่ยมชมปราสาท San Felipe เป็นเรื่องที่สงบมากขึ้นอย่างแน่นอนโดยมีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกมาเยี่ยมชมเพื่อเดินสำรวจกำแพงปราสาทสำรวจอุโมงค์ใต้ดินที่อยู่ใต้กำแพงและถ่ายรูปกับปืนใหญ่ 68 ชิ้นของ San Felipe ในปีพ. ศ. 2527 ยูเนสโกระบุปราสาทพร้อมด้วยเมืองเก่าของเมืองการ์ตาเฮนาเป็นมรดกโลก ปราสาทจนถึงจุดนั้นตกลงไปในสภาพทรุดโทรมกับพืชคลุมผนัง ปราสาทอันยิ่งใหญ่เมื่อความภาคภูมิใจของสถาปัตยกรรมทางทหารของสเปนในโลกใหม่ถูกใช้โดยรัฐบาลโคลัมเบียในฐานะสถานที่สำหรับกิจกรรมทางวัฒนธรรมและสังคมตั้งแต่ปี 2533 ยังคงเป็นที่น่ากลัวและน่าประทับใจเช่นเคย, สูงตระหง่านเหนืออ่าวของ Cartagena

เมืองคารตาเฮน่า

เมืองคารตาเฮน่า เดิมเคยเป็นเมืองขนส่งที่สำคัญของสเปน ชาวสเปนจึงได้ทำการก่อสร้างป้อมและกำแพงป้องกันเมืองอย่างแน่นหนา ที่ในปัจจุบันยังคงหลงเหลือให้เห็นอยู่ไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก ในปีค.ศ. 1984 องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ขึ้นทะเบียนเมือง Cartagena ให้เป็นเมืองเก่ามรดกโลก (World Heritage Site)

Cartagena เป็นจุดหมายปลายทางเด่นที่มีผู้อยู่อาศัย 950,000 คน แนะนำให้พักที่ ส่วนในกำแพงเมืองคาร์ตาเฮนา แล้วออกไปสำรวจเมืองสุดคึกคักแห่งนี้กันเลย ส่วนในกำแพงเมืองคาร์ตาเฮนา อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของย่านใจกลางเมืองประมาณ 0.2 กม. นักท่องเที่ยวสามารถบินมา ส่วนในกำแพงเมืองคาร์ตาเฮนา โดยลงที่ สนามบินนานาชาติ Rafael Nunez ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 4 กม.

Cartagena เป็นเมืองที่น่าสนใจที่มีประชากรประมาณ 950,000 คน สำหรับใครที่จะไป เราขอแนะนำให้พักใน ส่วนในกำแพงเมืองคาร์ตาเฮนา ถ้าบินมาลง สนามบินนานาชาติ Rafael Nunez เดินทางต่อไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 4 กม. ไม่นานก็จะถึง ส่วนในกำแพงเมืองคาร์ตาเฮนา ซึ่งที่นั่นก็ใกล้กับใจกลางเมืองแค่ 0.2 กม.

แคนเดอลาเรีย (La Candelaria)

ย่านประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ แคนเดอลาเรีย ใจกลางกรุงโบโกตาซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศ โดยกรุงโบกาตาเจริญเติบโตมาจากจุดๆนี้ ถนนแถบนี้จะปูด้วยก้อนหิน

และมีอาคารบ้านเรือนที่เก่าแก่นับร้อยปี รวมไปถึงโบสถ์อายุกว่า 400 ปี ซึ่งตั้งอยู่ร่วมกันกับตึกสูงระฟ้าสไตล์โมเดิร์นที่เพิ่งก่อสร้างขึ้น

สภาพภูมิอากาศพืชและการเกษตรโคลอมเบีย

โคลอมเบีย กับเส้นศูนย์สูตรของโลกคือความแตกต่างระหว่างฤดูกาลที่มีขนาดเล็กมาก อุณหภูมิตลอดทั้งปีอย่างต่อเนื่องและอยู่ที่ประมาณ 25-30 องศา ในที่ราบลุ่มและเป็นระดับความสูงที่เพิ่มขึ้นอุณหภูมิเฉลี่ย ในหุบเขาที่มีประชากรหนาแน่นแอนเดียนอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 15-20 องศา

ส่วนใหญ่ของประเทศโคลัมเบียถูกปกคลุมด้วยป่าฝนเขตร้อน, ความต่อเนื่องของบราซิล Selva ที่มีข้อยกเว้นของเทือกเขาแอนดีและจังหวัด Guajira ที่ ในเทือกเขาแอนดีที่ 1,000-2,400 เมตรจากระดับความสูงผ่านป่าฝนในป่าภูเขาเช่นต้นเฟิร์นและไม้ไผ่ Guajiraprovinsen ซึ่งรวมถึงคาบสมุทร Guajira ประกอบด้วยทะเลทรายส่วนใหญ่ที่ยังคงเข้ามาในเวเนซูเอลาในภาคตะวันออก

หุ้นของโคลัมเบียของ GDP จากการเกษตรได้ลดลงประมาณ 50% ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา แต่ยังคงเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจของประเทศ ตอนนี้ 12% ของจีดีพีจากการเกษตรและการเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เช่นป่าไม้การประมงและการล่าสัตว์ สินค้าเกษตรหลักในโกโก้ของประเทศอ้อยข้าวกล้วยและกาแฟ โคลอมเบียเป็นผู้ผลิตที่ใหญ่เป็นอันดับสามของกาแฟในโลกหลังจากที่บราซิลและเวียดนาม

แฟชั่นสุดเก๋ของโคลอมเบีย

ขึ้นชื่อว่าแฟชั่น แน่นอนว่าย่อมมีแต่ของสวยของงามให้มอง และไม่ว่าแฟชั่นของประเทศไหน ก็ล้วนมีสไตล์และเอกลักษณ์ของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น เช่นเดียวกับแฟชั่นเซตนี้จากงานสัปดาห์แฟชั่นแอฟริกา จัดที่วิหารเกลือที่ซีปากีรา ประเทศโคลอมเบีย เมื่อเร็วๆ นี้

พิพิธภัณฑ์โบเทโร

พิพิธภัณฑ์โบเทโร ศิลปะร่วมสมัยในโบโกตาขณะที่คุณเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์และแกเลอรีที่สำคัญที่สุดของเมือง คุณจะได้พบกับศิลปินยอดนิยมดาวรุ่งในชุมชนที่มีชีวิตชีวาแห่งนี้ และได้ชื่นชมงานคอลเลกชันส่วนตัวของหนึ่งในศิลปินที่โด่งดังที่สุดในละตินอเมริกาอย่างใกล้ชิด

หลังเดินทางออกจากโรงแรมด้วยบริการไปรับ มุ่งหน้าไปยังพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ของโบโกตา หรือที่เรียกกันว่า MAMBO พื้นที่ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมนี้มีผลงานที่สำคัญจากบางส่วนของศิลปินร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงมากที่สุดทั้งในประเทศและจากทั่วโลก สำรวจห้องจัดแสดงนิทรรศการเพื่อพบกับคอลเลกชันมากมายของประติมากรรมภาพพิมพ์ ภาพวาดการ์ตูน ภาพวาดสื่อผสม และหนึ่งในคอลเลกชันของภาพถ่ายที่ใหญ่ที่สุดในโคลัมเบีย

เดินต่อไปยัง La Candelaria ย่านใกล้เคียงที่มีสีสันของยุคโคโลเนียลเพื่อเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์โบเทโร ที่ซึ่งคุณจะได้ชมคอลเลกชันส่วนตัวของศิลปินรูปลักษณ์และประติมากรนามว่า เฟอร์นันโด โบเทโร ที่ได้บริจาคผลงานศิลปะของเขา 123 ชิ้นให้กับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ รวมถึงผลงานอีก 85 ชิ้นจากศิลปินทั่วโลก อัศจรรย์ใจไปกับการนำเสนองานที่เปี่ยมไปด้วยความรื่นรมย์ในรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร หรือที่รู้จักกันในชื่อ “โบเทอริสโม” และชมผลงานของโมเนต์ โบแดง และเดอกาในยุคปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 อย่างใกล้ชิด

ดำดิ่งลึกลงไปในบรรยากาศของชุมชนงานศิลปะสมัยใหม่พร้อมเยี่ยมชมแกลเลอรี 3 แห่งที่จัดแสดงศิลปะที่ดีที่สุดแห่งโคลัมเบียและละตินอเมริกา ก่อนเดินทางกลับไปยังโรงแรมของคุณ ปิดท้ายช่วงบ่ายให้สมบูรณ์แบบด้วยอาหารกลางวันรสเลิศที่ร้านอาหารในท้องถิ่น

ยอดเขา Monserrate

ทัศนียภาพเมืองแบบเต็มๆ ตา สัตว์ป่าพื้นเมืองและโบสถ์ที่มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ทำให้ Monserrate เป็นสถานที่ที่ต้องมาเที่ยวชมของโบโกตา ภูเขาสูง 3,152 เมตรที่มองเห็นได้จากหลายจุดของเมืองแห่งนี้ได้ถือเป็นสัญลักษณ์ที่งดงามของเมืองโบโกตา

 

 

นั่งกอนโดลาขึ้นไปบนยอดเพื่อชมทิวทัศน์แบบมุมสูงแบบพาโนรามา และชมทิวทัศน์เมืองโบโกตาที่กลายเป็นจุดเล็กๆ นั่งกระเช้าไฟฟ้าที่มีหลังคาเป็นกระจก สามารถมองเห็นทัศนียภาพพรรณไม้บนภูเขาได้อย่างต่อเนื่อง นักท่องเที่ยวที่พลังเหลือเฟืออาจต้องการเดินขึ้นไปบนยอดผ่านเส้นทางที่เลื้อยผ่านป่า ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงหากเดินไป

พรรณไม้อันอุดมสมบูรณ์แห่งนี้เป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและนกหลากหลายชนิด ชมเพียงพอนและสุนัขจิ้งจอก รวมถึงนกฮัมมิงเบิร์ด นกนางแอ่นและนกกระจิบ เพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพจากดาดฟ้าชมวิวและมองหาสถานที่สำคัญของเมืองบนยอดเขา รวมถึง Guadalupe Hill และ Plaza de Toros de Santamaría (Santamaría Bullring) นั่งพักที่ร้านอาหารบนภูเขาหรือค้นหามุมเด็ดๆ บนดาดฟ้าชมวิวและเพลิดเพลินกับการปิกนิก

แวะชม Sanctuary of Monserrate ซึ่งเป็นโบสถ์ปูนขาวที่มีเสน่ห์แบบโบราณสร้างไว้บนยอดภูเขาในช่วงศตวรรษที่ 17 รูปปั้นของ El Señor Caido (Fallen Lord) บนยอดเขาถือเป็นสถานที่แสวงบุญยอดนิยม ตัวโบสถ์และภูเขาตั้งชื่อตามภูเขา Montserrat ในบาร์เซโลนา

Monserrate ที่ปรากฏอยู่ตรงมุมทางตะวันออกเฉียงเหนือของใจกลางเมืองโบโกตา ถือเป็นจุดที่สามารถเดินทางมาถึงได้ง่ายด้วยระบบขนส่งสาธารณะ อย่างเช่นรถโดยสารประจำทางและรถไฟใต้ดิน รถนักท่องเที่ยวยังจอดรับส่งผู้โดยสาร ณ จุดเริ่มต้นของกอนโดลาและสถานีกระเช้าไฟฟ้า คุณอาจต้องการร่วมทัวร์เพื่อชมสถานที่ท่องเที่ยวในละแวกใกล้เคียง รวมถึง Casa Quinta Museo de Bolívar และ Torre Colpatria ได้

โคลอมเบียตัดสินป่าแอมะซอนมีสิทธิเทียบเท่าบุคคล

ศาลโคลอมเบียตัดสินให้ป่าแอมะซอนมีสิทธิเทียบเท่าบุคคลตามกฎหมาย เพื่อให้รัฐบาลเร่งหามาตรการหยุดยั้งการทำลายป่าให้ได้ภายใน 4 เดือน

ศาลสูงสุดของโคลอมเบียระบุว่า แม้จะมีความร่วมมือระหว่างประเทศและมีกฏเกณฑ์จำนวนมาก แต่เห็นได้ชัดเจนว่ารัฐบาลโคลอมเบียยังไม่สามารถจัดการกับปัญหาการทำลายป่าแอมะซอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการไม่มีสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ ทำให้บุคคลและสิ่งมีชีวิตไม่สามารถมีชีวิตรอดไปได้ ยังไม่นับรวมถึงสิทธิในการไม่สามารถปกป้องคนรุ่นใหม่และคนรุ่นหลังต่อไป

นอกจากนี้ ศาลได้สั่งให้รัฐบาลทั้งระดับประเทศและท้องถิ่น รวมถึงกระทรวงสิ่งแวดล้อมและการเกษตร ร่วมหารือและเสนอแผนปราบปรามการทำลายป่าแอมะซอนภายในเวลา 4 เดือน

จากข้อมูลพบว่าป่าแอมะซอนในโคลอมเบียมีขนาดเทียบเท่ากับประเทศเยอรมนีและอังกฤษรวมกัน แต่ในช่วงปี 2015-2016 อัตราการตัดไม้ทำลายป่าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 44 ซึ่งการทำลายป่าก็มีจุดประสงค์ที่หลากหลายกันไป ตั้งแต่การถางป่าเพื่อเลี้ยงสัตว์ ทำเกษตร ปลูกต้นโคคา (วัตถุดิบสำหรับผลิตโคเคน) การทำเหมือง และการตัดไม้อย่างผิดกฎหมาย

คำตัดสินนี้มีขึ้นหลังจากที่คนรุ่นใหม่ 25 คนอายุตั้งแต่ 7-26 ปีรวมตัวกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลเมื่อเดือนมกราคม เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลปกป้องสิทธิในการมีสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งความล้มเหลวของรัฐบาลในการหยุดยั้งการทำลายป่าแอมะซอนส่งผลกระทบอย่างมากต่ออนาคตของพวกเขา และละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญในการเข้าถึงสิ่งแวดล้อม อาหารและน้ำที่ดีต่อสุขภาพ

หลังการอ่านคำพิพากษา หนึ่งในโจทก์ยื่นฟ้องในครั้งนี้ระบุว่า คำตัดสินนี้มีความสำคัญต่อการปกป้องสิทธิของคนรุ่นต่อไป และถือเป็นคำตัดสินประวัติศาสตร์ที่จะช่วยอนุรักษ์ป่าและต่อสู้กับสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงด้วย

โคลอมเบียจัดเทศกาล ‘ขาวดำ’

เทศกาลประจำปี แบล็คส์ แอนด์ ไวท์ส ที่เมืองปาสโต ทางตะวันตกเฉียงใต้ของโคลอมเบีย เริ่มเปิดงานตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม และจะปิดงานในวันนี้ (7 ม.ค.) และผู้เข้าร่วมงานต่างสวมชุดโทนสีขาวดำ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นหนึ่งเดียว และความเท่าเทียม มาฉลองในงานที่มีเพื่อความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม

นอกจากนี้ เทศกาลนี้ยังมีการแบ่งวันสีขาวและสีดำ โดยในวันสีขาว ศิลปินจะทำการแสดงในขบวนพาเหรดด้วยชุดสีสันหลากหลาย ส่วนในวันสีดำ ผู้เข้าร่วมงานจะทาหน้าเป็นสีดำเพื่อระลึกถึงการเลิกทาส

นายโรเบิร์ต กาซาร์ท นักท่องเที่ยวรายหนึ่ง กล่าวว่า การฉลองที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมเป็นงานที่ดี และมีความสนุก ผู้คนก็ชื่นชอบดนตรีในงาน ส่วนนายกุสตาโว คอร์โดบา กล่าวว่า ทุกคนพร้อมใจกับทาหน้าเป็นสีดำ เพื่อความเท่าเทียม ความยุติธรรม เพราะทุกคนต่างเป็นมนุษย์เหมือนกัน

เทศกาลคาร์นิวัลประจำปี แบล็คส์ แอนด์ ไวท์ส ถือเป็นเทศกาลใหญ่ของโคลอมเบีย ซึ่งองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ขึ้นบัญชีเป็นมรดกทางวัฒนธรรมแห่งมนุษยชาติเมื่อปี 2552